ระบบการตวรจจับใบหน้า ปัจจุบันผู้คนทั่วโลก ได้ให้ความสนใจและมุ่งเน้น เกี่ยวกับในเรื่องของ ระบบรักษาความปลอดภัยกันเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ราชการ โรงพยาบาล โรงงาน สถานศึกษา ที่พักอาศัย กลุ่มธุรกิจสำนักงาน
หรือหมู่บ้านจัดสรร หรือแม้แต่สถานที่สาธารณะ เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญในด้านของปลอดภัยมากขึ้น และยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ เครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะเด่น ที่ทำให้ได้รับความไว้วางใจ จากหน่วยงานต่างๆ
ซึ่งกล่าวคือการจัดการระบบด้านความปลอดภัย ของสถานที่ต่างๆนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจจับ หรือ ดูแลด้านความปลอดภัยได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นอาคารขนาดใหญ่ ที่มีเพียงเจ้าหน้าที่ สำหรับการรักษาความปลอดภัย ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ และ ป้องกันบุคคลภายนอก แต่ว่าเจ้าหน้าที่นั้นจะสามารถจดจำผู้คนอย่างไรได้ หมดทุกคนในเมื่อถ้าองค์กรนั้นมีสมาชิกในองค์กร เป็นจำนวนมาก มันเป็นไปได้ยากมาก ที่จะป้องกันบุคคลภายนอกเข้าไปภายในองค์กร
หรืออาจจะป้องกันด้วยการโชว์บัตรพนักงาน แต่ถ้าผู้นั้นเป็นอดีตพนักงานที่ยังมีบัตรพนักงานเก็บไว้ และยังเป็นผู้ที่ต้องระวัง ถือเป็นความเสี่ยงอย่างมากในการฝากให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียงไม่กี่นายดูแล
หรือถ้าผู้รักษาความปลอดภัยลาหยุดหรือพัก สิ่งนี้ก็เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าไปยังองค์กรได้
จึงต้องมีการใช้ scan face หรือ ระบบการตวรจจับใบหน้า เกิดขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป Face Recognition มักถูกนำมาใช้ในขอบข่ายงานที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัย เช่น ระบบตรวจสอบบุคคลเข้า-ออกพื้นที่ (Access Control System) อาคารสำนักงาน พื้นที่ปฏิบัติการภายในสนามบิน สถาบันวิทยาศาสตร์และการแพทย์ต่างๆ ที่จำเป็น
ต้องมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง รวมถึงการใช้งานควบคู่กับกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบใบหน้าของผู้ต้องสงสัย เพื่ออ้างอิงกับฐานข้อมูลอาชญากร ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งสามารถประยุกต์ใช้กับระบบเก็บข้อมูลและบันทึกเวลาทำงาน (Time Attendance) ของพนักงานบริษัท หรือองค์กรต่างๆ ได้อีกด้วย
ใบหน้าของแต่ละคนนั้นมีหลากหลาย เช่นเราสามารถแยกแยะใบหน้าจากความโดดเด่นนั้นๆได้ ความสูง – ต่ำของหน้าผาก หรือคาง หรือแม้แต่จมูก สิ่งเหล่านี้นี่เองที่เป็นสิ่งที่นำไปใช้แยะแยะใบหน้าได้ โปรแกรม FaceIt จะกำหนดคุณลักษณะสำคัญบนใบหน้า ซึ่งใบหน้าของคนแต่ละคน มีจุดที่สามารถกำหนดได้ถึง 80จุด ซอฟแวร์จะวัดโดยตรวจสอบจากจุดสำคัญเหล่านี้:ระยะห่างระหว่างตา ความกว้างของจมูกความลึกของเบ้าตา รูปร่างของโหนกแก้ม หรือแม้กระทั่งความยาวของแนวกราม จุดที่สำคัญเหล่านี้ วัดโดยการสร้างรหัสการคำนวณที่เรียกว่า Faceprintที่ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของใบหน้า ในระบบฐานข้อมูลในอดีตที่ผ่าน
มาซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับการจดจำใบหน้าได้อาศัยภาพแบบ 2มิติ(2D)เพื่อเปรียบเทียบหรือระบุภาพ 2 มิติอื่นจากฐานข้อมูลภาพที่ถ่ายมานั้นจะต้องเป็นใบหน้าที่ตรง หันหน้าเข้ากับกล้องถ่ายรูป เพื่อที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และแม่นยำ หากมีมีความแตกต่างของแสง หรือ การแสดงสีหน้าเพียงเล็กน้อย ก็จะ
ทำให้เกิดปัญหา ภาพไม่ตรงกับระบบฐานข้อมูล เรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างที่จะเป็นปัญหาอย่างมากกรณีส่วนใหญ่ หากภาพที่ถ่ายไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุม แม้แต่แสงที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย หรือการใบหน้าไม่ตรง ก็จะเป็นเหตุให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง ทำให้ไม่สามารถเทียบเคียงใบหน้ากับฐานข้อมูลได้ ในส่วนถัดไป เราจะมาดูกันว่า ปัญหาดังกล่าว จะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีใด
ระบบจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ้how face scan work
การจดจำใบหน้า ด้วยรูปแบบ 3 มิติ ดูมีแนวโน้มว่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาใหม่ ระบบนี้อ้างว่าจะให้ความแม่นยำที่มากขึ้น การถ่ายภาพใบหน้าของบุคคลแบบ 3 มิติ จะใช้คุณลักษณะที่โดดเด่นของใบหน้า เช่น เนื้อเยื่อแข็ง และ กระดูกในส่วนที่เห็นได้ชัดที่สุด (เบ้าตา, จมูก และคาง) เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ จะไม่ซ้ำกัน และไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาการจดจำใบหน้าแบบ 3 มิติ สามารถใช้งานได้ในที่มืด และสามารถจดจำใบหน้า
ในมุมมองอื่นๆได้ด้วยการวัดความลึกและแนวตกกระทบของแสง สามารถจดจำมุมมองได้ถึง 90 องศาการใช้ซอฟแวร์ 3 มิติ ระบบต้องประมวลผลเป็นขั้นตอน เพื่อที่จะตรวจสอบ และระบุตัวบุคคลการตรวจจับรับภาพด้วยการแสกนแบบดิจิตอล ของภาพถ่ายที่เคยถ่ายไว้แล้วแบบ 2 มิติ (2D) หรือ ใช้วีดีโอไฟล์ เพื่อที่จะจำแนกบุคคลในแบบ 3 มิติ (3D)
การจัดตำแหน่ง
เมื่อมีการตรวจจับใบหน้าแล้ว ระบบก็จะกำหนด ตำแหน่งของศีรษะ ขนาด และการวางท่าทาง อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเครื่องสามารถจำแนกตัวแบบได้กว้างถึง 90 องศา ในขณะที่ระบบการจดจำแบบ 2 มิติ (2D) จะต้องหันหน้ามาทางกล้องอย่างน้อย 35 องศา ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของการจดจำใบหน้าแบบ 3
มิติการวัดขนาดหลังจากที่ระบบวัดขนาดโครงหน้า แล้วก็จะสร้างแม่แบบ ใบหน้านั้นขึ้นมาการสร้างตัวแบบระบบจะแปลงค่าของแม่แบบ ให้เป็นรหัสเฉพาะ ที่ไม่ซ้ำกัน รหัสนี้จะนำไปแจกจ่ายให้แม่แบบ เพื่อเป็นการแทนค่าที่แสดงถึงคุณสมบัติเด่นบนใบหน้า ระบบการตวรจจับใบหน้า
การจับคู่
ถ้าหากรูปภาพที่ถ่ายมานั้นเป็นแบบ 3 มิติ และฐานข้อมูลมีรูปภาพ 3 มิติ ที่ตรงกันแล้วการเทียบเคียงความเหมือนกันของภาพก็จะเริ่มต้นขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จะมีความยากในการเทียบเคียงรูปภาพที่ยังเป็น 2 มิติอยู่ เนื่องจาก ภาพแบบสองมิตินั้นมีมิติ ที่ไม่มีด้านลึก นั่นเองเทคโนโลยีใหม่นี้ กำลังเข้ามามีบทบาทในการ
แข่งขัน เมื่อภาพแบบ 3 มิติ ถูกถ่ายขึ้น จุดหลายจุดที่แตกต่างกัน (ส่วนมาก 3 จุด) ถูกระบุไว้ ยกตัวอย่างเช่น ตาชั้นนอกนัยน์ตา และปลายจมูก จะนำมาใช้ในการวัด ในขั้นตอนหารวัด ขึ้นตอนวิธีจะแปลงภาพเป็น 2 มิติ
หลังจากนั้น ซอฟแวร์ก็จะประมวลผลภาพ กับฐานข้อมูลที่มีอยู่ในระบบเพื่อค้นหา การเทียบเคียงที่เข้ากันได้มากที่สุด
การตรวจสอบ
ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบรูปภาพที่ตรงกับรูปในฐานข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น รูปภาพถ่ายใบหน้าคนที่ได้ อาจจะตรงกับรูปภาพในระบบฐานข้อมูลของฝ่ายข้อมูลรถยนต์ เพื่อที่จะบอกว่าคนๆนั้นคือใคร ถ้าหากการตรวจสอบสมบูรณ์ รูปภาพก็จะถูกเปรียบเทียบ และให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นคะแนน ในกรณีนี้ อาจจะต้องถ่ายภาพมาหลายๆภาพ เพื่อตรวจสอบรูปภาพจากระบบฐานข้อมูลก็ได้
หากคุณกำลังจะจัดงานที่อยากใช้ระบบ QR Code ในกิจกรรมการจัดงานของคุณ สามารถ ติดต่อได้ที่ K&O Systems ซึ่งมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการทำ ระบบ QR Code ในงาน event มาแล้วมากมาย
อาทิ เช่น ระบบลงทะเบียนเข้างาน QR code จับรางวัล และ อื่นๆ ภายในงาน อีเว้นท์ และ งานแสดงสินค้าเข้าไปดูผลงานได้ที่นี่ Vveedigitalและสอบถามได้ที่เบอร์ 082-645-4469